Microsoft Excel ถือว่าเป็นโปรแกรมพื้นฐานที่ใช้ในการทำงาน จุดเด่นของ Excel คือการคำนวณ และในการคำนวณต่างๆ จำเป็นต้องมีสูตรที่ใช้ในการคำนวณ ซึ่งโปรแกรม Excel เหมาะกับข้อมูลประเภทตัวเลข กราฟ การวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ล้วนต้องใช้ Excel ตั้งแต่หน่วยงานขนาดย่อย ไปจนหนึ่งองค์กรที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งสูตรที่ใช้บ่อย ๆ เจอในชีวิตประจำวันมีดังนี้
สูตร Excel ที่ควรรู้
สูตร SUM : การหาผลรวมใน Excel
=SUM(number1, [number2], …)
ตัวอย่างการใช้สูตร
พิมพ์ =SUM( ตามช่วงเซลล์ที่ต้องการให้หาผลรวม ซึ่งการหากผลรวมสามารถมีหลายช่วงได้ อย่างเช่นในตัวอย่าง ต้องการหาผลรวมของช่วงเซลล์ A2 ถึง A10 ก็จะเขียนสูตรได้ว่า
=SUM(A2:A10) พิมพ์สูตรเสร็จแล้ว Enter
สูตร AVERAGE : การหาค่าเฉลี่ยใน Excel
=AVERAGE(number1,number2, …) เราจะใช้ฟังก์ชัน AVERAGE ในการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิต
ตัวอย่างการใช้สูตร
พิมพ์ =AVERAGE( ตามช่วงเซลล์ที่ต้องการให้หาค่าเฉลี่ย อย่างเช่นในตัวอย่างเราต้องหาค่าเฉลี่ยยอดขายทั้งหมดคือ E2 ถึง E11 พิมพ์สูตรได้ดังนี้
=AVERAGE(E2:E11) แล้ว Enter
สูตร COUNT: การนับจำนวนใน Excel
=COUNT(value1, vale2,…) ใช้ฟังก์ชัน COUNT ในการนับจำนวนข้อมูลทั้งหมดที่มี ซึ่งจะนับข้อมูลที่เป็นตัวเลขเท่านั้น
ตัวอย่างการใช้สูตร
พิมพ์ =COUNT( ตามด้วยช่วงเชลล์ที่ต้องการนับ ในตัวอย่างต้องการนับช่วง C2 ถึง C10 เขียนสูตรได้ดังนี้
=COUNT(C2:C10)
Flash Fill : แยกข้อมูล
เป็นคำสั่งที่ใช้ในการแยกข้อมูลหรือข้อความออกมาที่เซลล์ใหม่ นอกจากแยกข้อมูลแล้ว Flash Fill ยังสามารถรวมข้อมูลจากื 2 เซลล์หรือ 2 คอลัมน์มาใว้ด้วยด้วยกันได้ด้วย โดยมีวิธีดังนี้
ตัวอย่างการใช้ Flash Fill
ตัวอย่างนี้จะแยกชื่อออกจากนามสกุล
1. เริ่มจากพิมพ์ชื่อแรกที่เราต้องการแยกออกมาในเซลล์ที่ต้องการ
ลากเมาส์ Auto Fill จากเซลล์แรกลงมา —>> เลือก AutoFill Options —>> เลือก Flash Fill เพียงเท่านี้ข้อมูลก็จะแยกให้เราอัตโนมัติ
สูตร DAYS
เราจะใชฟังก์ชัน DAYS ในการหาผลต่างของวัน เดือน ปี 2 ค่า หรือเป็นการหาจำนวนวัน ว่าจากช่วงวันที่… จนถึงวันที่… มีทั้งหมดกี่วัน
ตัวอย่างการใช้สูตร
=DAYS(end_date, start_date)
ตัวอย่างวันเริ่มต้นคือวันที่ 2 ธ.ค. 2022 ถึงวันที่ 12 ธ.ค. 2022 จำนวนวัน หรือผลต่างของช่วงระยะวันที่ดังกล่าวคือ 10 วัน สามารถใช้สูตรได้ดังตัวอย่างด้านล่าง